วันอังคารที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ใบงานที่1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต

1.Internet หมายถึง อินเทอร์เน็ต(Internet) คือ เครือข่ายนานาชาติ ที่เกิดจากเครือข่ายขนาดเล็กมากมาย รวมเป็นเครือข่ายเดียวทั้งโลก หรือเครือข่ายสื่อสาร ซึ่งเชื่อมโยงระหว่างคอมพิวเตอร์ทั้งหมด ที่ต้องการเข้ามาในเครือข่าย สำหรับคำว่า internet หากแยกศัพท์จะได้มา 2 คำ คือ คำว่า Inter และคำว่า net ซึ่ง Inter หมายถึงระหว่าง หรือท่ามกลาง และคำว่า Net มาจากคำว่า Network หรือเครือข่าย เมื่อนำความหมายของทั้ง 2 คำมารวมกัน จึงแปลว่า การเชื่อมต่อกันระหว่างเครือข่าย IP (Internet protocal) Address คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่เชื่อมต่อกันในinternet ต้องมี IP ประจำเครื่อง ซึ่ง IP นี้มีผู้รับผิดชอบคือ IANA (Internet assigned number authority) ซึ่งเป็นหน่วยงานกลางที่ควบคุมดูแล IPV4 ทั่วโลก เป็น Public address ที่ไม่ซ้ำกันเลยในโลกใบนี้


2.ประวัติความเป็นมาของอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย+Youtubeประวัติความเป็นมา
อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย เริ่มต้นเมื่อปีพ.ศ.2530(ค.ศ.1987) โดยการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ ระหว่างมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์(http://www.psu.ac.th)และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (http://www.ait.ac.th)ไปยังมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย(http://www.unimelb.edu.au) แต่ครั้งนั้นยังเป็นการเชื่อมต่อโดยผ่านสายโทรศัพท์ (Dial-up line) ซึ่งสามารถส่งข้อมูลได้ช้า และไม่เสถียร จนกระทั่ง ธันวาคม ปีพ.ศ.2535 ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ(NECTEC) ได้ทำการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัย 6 แห่ง เข้าด้วยกัน (Chula, Thammasat, AIT, Prince of Songkla, Kasetsart and NECTEC) โดยเรียกเครือข่ายนี้ว่า ไทยสาร(http://www.thaisarn.net.th) และขยายออกไปในวงการศึกษา หรือไม่ก็การวิจัย การขยายตัวเป็นไปอย่างต่อเนื่องจนเดือนกันยายน ปี พ.ศ.2537 มีสถาบันการศึกษาเข้าร่วมถึง 27 สถาบัน และความต้องการใช้อินเทอร์เน็ตของเอกชนมีมากขึ้น การสื่อสารแห่งประเทศไทย (http://www.cat.or.th) เปิดโอกาสให้ภาคเอกชน สามารถเป็นผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP - Internet Service Provider) และเปิดให้บริการแก่บุคคลทั่วไป สามารถเชื่อมต่อ Internet ผ่านผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาตจากการสื่อสารแห่งประเทศไทย


วันพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2561

สรุปคำสั่ง HTML(2)


สรุปคำสั่ง HTML(2)

  1. <a href= “link” >ข้อความที่แสดง</a> -แท็กการเชื่อมโยง 
  2. <img src= “link” /> -แท็กแสดงรูปภาพ
  3. <table> -แท็กสร้างตาราง
    • <tr> -แท็กสร้างแถว
    • <td> -แท็กสร้างคอลัมน์
  4. < แทนด้วย &lt;
  5. > แทนด้วย &gt;
  6. & แทนด้วย &amp;
  7. " แทนด้วย &quot;
  8. <tt> เป็นแท็กสำหรับกำหนดตัวอักษรเป็นตัวพิมพ์ดีด 
  9. <ul> เป็นแท็กสำหรับแสดงรายการโดยไม่ต้องเรียงลำดับ 
  10. <ol> เป็นแท็กสำหรับแสดงรายการโดยเรียงลำดับ 
  11. <li> เป็นแท็กแสดงข้อความในแต่ละบรรทัดใน แท็ก <ul>และ <ol> 
  12. <a> เป็นแท็กที่กำหนดการเชื่อมโยง 
  13. <img> เป็นแท็กที่กำหนดการเชื่อมโยงด้วยรูปภาพ 
  14. <a href target> กำหนดการเชื่อมโยง กำหนดจุดเชื่อมโยง กำหนดการเปิดหน้าต่างใหม่ 
  15. <th> เป็นแท็กสำหรับกำหนดข้อความหัวข้อเรื่องของตาราง 
  16. <form> เป็นแท็กสำหรับกำหนดสร้าง form
  17. <input> เป็นแท็กสำหรับกำหนดinput ใน form 
  18. <frame> เป็นแท็กสำหรับสร้าง frame 
  19. <BGSOUND> บรรเลงเพลงประกอบ
  20. <FRAMESET> แบ่งส่วนการแสดงผลเพื่อสร้างเฟรม
  21. <LAYER> สร้างเลเยอร์
  22. <MENU> แสดงรายการข้อมูลแบบแจกแจงเป็นข้อๆ ชนิดคอลัมน์เดี่ยว
  23. <SPACER> กำหนดระยะช่องว่าง
  24. <STRONG> แสดงข้อความแบบตัวเข้า
  25. <STYLE> สร้าง style sheet
  26. <TBODY> กำหนดขอบเขตเซลล์ข้อมูลปกติในตาราง
  27. ©                   &copy                                        COPYRIGHT SIGN
  28. ®                   &reg                                           REGISTERED SIGN
  29. ™                 &trade                                        TRADE MARK SIGN
  30. ;                    &semi                                         SEMICOLON
  31. &                  &amp                                          AMPERSAND
  32. #                   &num                                           NUMBER SIGN
  33. ★                  &starf                                              BLACK STAR
  34. ☆                  &star                                            WHITE STAR
  35. ✓                  &check                                       CHECK MARK
  36. ✗                  &cross                                       BALLOT X
  37. ←                 &larr                                       LEFTWARDS ARROW
  38. ↑                   &uarr                                       UPWARDS ARROW
  39. →                 &rarr                                    RIGHTWARDS ARROW
  40. ↓                   &darr                                      DOWNWARDS ARROW
  41. €                   &euro                                      EURO SIGN
  42. ▽                  &xdtri                               WHITE DOWN-POINTING TRIANGLE
  43. ∑                   &sum                                       N-ARY SUMMATION
  44. №                  &numero                                      NUMERO SIGN
  45. ℗                  &copysr                               SOUND RECORDING COPYRIGHT



วันจันทร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2561

สรุปคำสั่ง HTML(1)

สรุปคำสั่ง HTML

1.<html>......</html>                    คำสั่งเริ่มต้นในการเขียนโปรแกรม       
2.<head>......</head>                  คำสั่งบอกส่วนที่เป็นชื่อเรื่อง
3.<title>.......</title>                     คำสั่งบอกชื่อเรื่องที่จะปรากฏที่ Title bar 
4.<body>......</body>                  คำสั่งบอกส่วนที่เป็นเนื่อเรื่อง
5.<center>.......</center>            คำสั่งจัดกึ่งกลาง
6.<br>                                         คำสั่งขึ้นบรรทัดใหม่
7.<p>......</p>                             คำสั่งจัดย่อหน้าของข้อความ
8.<body bgcolor=......>               คำสั่งใส่สีที่พื้นหลัง
9.<big>........</big>                     คำสั่งตัวอักษรใหญ่
10.<small>......</small>              คำสั่งตัวอักษรเล็ก
11.<b>......</b>                            คำสั่งตัวอักษรหนา
12.<i>.......</i>                             คำสั่งตัวอักษรเอียง
13.<u>......</u>                            คำสั่งตัวอักษรขีดเส้นใต้ 
14.<h(1-6)>......</h(1-6)>            คำสั่งแสดงข้อความหัวเรื่องขนาดต่างๆ
15.<hr width=....%  color=.....>    คำสั่งใส่เส้นขั้น
16.<s>.......</s>                            คำสั่งแสดงข้อความแบบมีเส้นขีดฆ่ากำกับ
17.<font size = "...">......</font>   คำสั่งขนาดตัวอักษร
18.<font color = "...">......</font> คำสั่งสีตัวอักษร
19.<font face = "...">......</font>   คำสั่งรูปแบบตัวอักษร
20.<marquee direction =..... scrolldelay=.....>.......</marquee>
คำสั่งข้อความแบบตัวอักษรวิ่ง






วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2561

HTML

HTML

1.HTML ย่อมาจาก  Hypertext Markup Language
 หมายถึง ภาษาหลักที่ใช้ในการเขียนเว็บเพจ โดยใช้ Tag ในการกำหนดการแสดงผล
2.รูปแบบการใช้คำสั่ง 


<font size = "3"> ข้อความ </font>    ขนาดตัวอักษร

<font color = "red"> ข้อความ </font>    สีตัวอักษร

<font face = "Arial"> ข้อความ </font>      รูปแบบตัวอักษร

<besefont size = "2"> ข้อความ </font> กำหนดค่าเริ่มต้นของขนาดตัวอักษร

<b> ข้อความ </b>
ตัวอักษรหนา

<i> ข้อความ </i>
ตัวอักษรเอน

<u> ข้อความ </u>
ขีดเส้นใต้ตัวอักษร

<tt> ข้อความ </tt>
ตัวอักษรแบบพิมพ์ดีด

วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2561

ใบงานที่ 5 เรื่อง ภาษาคอมพิวเตอร์

ภาษาคอมพิวเตอร์

1.ภาษาคอมพิวเตอร์หมายถึงอะไร?
ตอบ ภาษาคอมพิวเตอร์ หมายถึง ภาษาใดๆที่ผู้ใช้งานใช้สื่อสารกับคอมพิวเตอร์ หรือคอมพิวเตอร์ด้วยกัน แล้วคอมพิวเตอร์สามารถทำงานตามคำสั่งนั้นได้

2.ภาษาคอมพิวเตอร์มีกี่ระดับ? อะไรบ้าง?
ตอบ มี3ระดับ ได้แก่

1.ภาษาระดับต่ำ (Low Level Language) ได้แก่1.1 ภาษาเครื่อง (Machine Language) เป็นภาษาระดับต่ำที่สุดเพราะใช้เลขฐานสองแทนข้อมูล (0และ1)และคำสั่งต่างๆทำให้การเขียนโปรแกรมยุ่งยากมาก
ตัวอย่างที่ 1 แสดงคำสั่งของภาษาเครื่องมีดังนี้

ถ้าเราต้องการสั่งให้เครื่องทำงานตามคำสั่ง 9 + 3 แสดงได้ดังนี้

การบวกแทนด้วยรหัส 10101010

เลข 9 เปลี่ยนเป็นเลขฐานสอง 00001001

เลข 3 เปลี่ยนเป็นเลขฐานสอง 00000011

ดังนั้น คำสั่ง 9 + 3 เขียนเป็นภาษาเครื่องได้ดังนี้

00001001 10101010 00000011 ---------> ภาษาเครื่อง

9 + 3 --------> ภาษามนุษย์และภาษาคอมพิวเตอร์

1.2 ภาษาแอสเซมบลี (Assembly Language) ภาษาแอสเซมบลีใช้รหัสเป็นคำแทนคำสั่งภาษาเครื่อง ทำให้นักเขียนโปรแกรมสามารถเขียนโปรแกรมได้ง่ายขึ้น คือ ใช้สัญลักษณ์แทนเลข 0 และ 1 ของภาษาเครื่อง ซึ่งสัญลักษณ์ที่ใช้จะเป็นคำสั่งสั้นๆ ทำให้การเขียนโปรแกรมง่ายขึ้นกว่าภาษาเครื่อง แต่ก็ยังคงยุ่งยากมากในการจำคำสั่งทั้งหมด

ตัวอย่างที่ 2 แสดงค่าสั่งของภาษาแอสเซมบลีมีดังนี้

ถ้าเราต้องการสั่งให้เครื่องท่างานตามค่าสั่ง 9 + 3 แสดงได้ดังนี้

MOV AX, 9

MOV BX, 3

ADD AX, BX

2.ภาษาระดับกลาง (Medium Level Language)

เป็นภาษาที่ทำความเข้าใจได้ไม่ยากนัก เพราะมีลักษณะ เป็นภาษาแบบโครงสร้าง ทำความเข้าใจได้เหมือนกับภาษาระดับสูงแต่ทำงานได้รวดเร็ว
เหมือนกับภาษาระดับต่ำ สามารถใช้บนเครื่องที่มีความเร็วต่างกันโดยไม่ต้องดัดแปลง ภาษาระดับกลางจึงเป็นที่นิยมใช้กันแพร่หลาย ตัวอย่างของภาษาระดับกลาง ได้แก่ ภาษาฟอร์แทรน (FORTRAN) ภาษาโคบอล (COBOL) ภาษาปาสคาล (Pascal) ภาษาเบสิก(BASIC) ภาษาวิชวลเบสิก (Visual Basic) 
ภาษาซี (C) และภาษาจาวา (Java) เป็นต้น





3.ภาษาระดับสูง (High Level Language)

เป็นภาษาที่ทำความเข้าใจได้ง่าย มีลักษณะของการใช้คำสั่งเป็นภาษาอังกฤษซึ่งใกล้เคียงกับภาษามนุษย์มากการสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานจะต้องมีการแปลความหมายของคำสั่งโดยใช้ตัวแปลภาษาทีละชุดคำสั่งที่เรียกว่า Interpreter หรือแปลครั้งเดียวทั้งโปรแกรมที่เรียกว่า Compiler

3.ตัวแปลภาษา
ตอบ ได้แก่

♦ แอสเซมเบลอ (Assembler) เป็นตัวแปลภาษาแอสแซมบลีซึ่งเป็นภาษาระดับต่ำให้เป็นภาษาเครื่อง

 ♦ อินเตอร์พรีเตอร์ (Interpreter) เป็นตัวแปลภาษาระดับสูงซึ่งเป็นภาษาที่ใกล้เคียงกับภาษามนุษย์ ไปเป็นภาษาเครื่อง โดยใช้หลักการแปลพร้อมกับงานตามคำสั่งทีละบรรทัดตลอดทั้งโปรแกรมทำให้การแก้ไขโปรแกรมทำได้ง่ายและรวดเร็ว
แต่ออบเจคโคดที่ได้จากการแปลโดยการใช้อินเตอร์พรีเตอร์นั้นไม่สามารถเก็บไว้ใช้ใหม่ได้จะจะต้องแปลโปรแกรมใหม่ทุกครั้งที่ต้องการใช้งาน
♦ คอมไพเลอร์ (Compiler) จะเป็นตัวแปลภาษาระดับสูงเช่นเดียวกับอินเตอร์พรีเตอร์แต่จะใช้วิธีแปลโปรแกรมทั้งโปรแกรมให้เป็นออบเจคโคด ก่อนที่จะสามารถนำไปทำงานเช่นเดียวกับแอสแซมเบลอ ออบเจคโคดที่ได้จากการแปลนั้นสามารถจัดเก็บไว้เป็นแฟ้มข้อมูล เพื่อให้นำไปใช้ในการทำงานเมื่อใดก็ได้ตามต้องการ ซึ่งเป็นข้อดีของคอมไพเลอร์ที่จะนำผลที่ได้จากการแปลนั้นไปใช้งานกี่ครั้งก็ได้ไม่จำกัด ไม่ต้องเสียเวลาในการแปลใหม่ทุกครั้ง ทำให้เป็นรูปแบบการแปลที่ได้รับความนิยมอย่างมาก

ในปัจจุบัน มีหลักการแปลภาษาคอมพิวเตอร์แบบใหม่เกิดขึ้น คือแปลจากซอร์สโคดไปเป็นรหัสชั่วคราวหรืออินเทอมีเดียตโคด (Intermediate code)ซึ่งสามารถนำไปทำงานได้ด้วยการใช้โปรแกรมในการอ่านและทำงานตามรหัสชั่วคราวนั้นโดยโปรแกรมนี้จะมีหลักการทำงานคล้ายกับ
อินเทอพรีเตอร์ แต่จะทำงานได้เร็วกว่าเนื่องจากรหัสชั่วคราวจะใกล้เคียงกับภาษาเครื่องมาก มีข้อดีคือสามารถนำรหัสชั่วคราวนั้นไปใช้ได้กับทุก ๆ เครื่องที่มีโปรแกรมตีความได้ทันที

อ้างอิง

http://cprogramcode.weebly.com/361636343625363435883629361736143636362336483605362936193660.html

ใบงานที่ 4 เรื่อง โปรแกรมคอมพิวเตอร์

โปรแกรมคอมพิวเตอร์

1.โปรแกรมคอมพิวเตอร์ หมายถึงอะไร

ตอบ  คำสั่งหรือชุดคำสั่ง ที่เขียนขึ้นมาเพื่อสั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานตามที่เราต้องการ เราจะให้คอมพิวเตอร์ทำอะไรก็เขียนเป็นคำสั่ง ซึ่งต้องสั่งเป็นขั้นตอนและแต่ละขั้นตอนต้องทำอย่างละเอียดและครบถ้วน ซึ่งจะเกิดเป็นงานชิ้นหนึ่งขึ้นมามีชื่อเรียกว่า "โปรแกรม"

2.โปรแกรมคอมพิวเตอร์ มีกี่ประเภท อะไรบ้าง

ตอบ มี3ประเภท ได้แก่ 
      
1. ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software หรือ Operating Software : OS) หมายถึง โปรแกรมที่ทำหน้าที่ประสานการทำงาน ติดต่อการทำงาน ระหว่างฮาร์ดแวร์กับซอฟต์แวร์ประยุกต์เพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้ Software ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำหน้าที่ในการจัดการ ระบบ ดูแลรักษาเครื่อง การแปลภาษาระดับต่ำหรือระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่องเพื่อให้เครื่องอ่านได้เข้าใจ ตัวอย่างเช่น Windows 7 ,Windows Vista , Windows XP เป็นต้น

     
 









2. ซอฟต์แวร์ประยุกต์(Application Software) หมายถึง โปรแกรมที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์เป็นผู้เขียนขึ้นมาใช้เองเพื่อสั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ต้องการ ตัวอย่างโปรแกรมประยุกต์ เช่น
โปรแกรมสำหรับการใช้งานอินเทอร์เน็ต เช่น อินเทอร์เน็ตเอกซ์พลอเรอร์ ไฟร์ฟอกซ์ ไฟล์ซิลลา
โปรแกรมเล่นเพลง เช่น วินแอมป์ วินโดวส์มีเดียเพลเยอร์ ไอทูนส์
โปรแกรมสำนักงาน เช่น ไมโครซอฟท์ ออฟฟิศ โอเพนออฟฟิศ
โปรแกรมอื่น ๆ เช่น ออโตแคด ไมโครสเตชัน
      

3.โปรแกรมเอนกประสงค์ (Utility Software) จะเป็นพวกเครื่องมือที่ใช้แก้ปัญหาและวิเคราะห์ปัญหาของระบบ โปรแกรมอเนกประสงค์ คือโปรแกรมตัวเล็ก ที่ทำหน้าที่เฉพาะด้านไปอย่าง โปรแกรมบีบอัดไฟล์ Winzip, Winrar หรือ โปรแกรมดูภาพจำพวก ACDsee โปรแกรม MS Word สำหรับการพิมพ์งานเอกสารรูปแบบต่างๆ, โปรแกรม MS Excel สำหรับการทำเอกสารที่เป็นแบบฟอร์ม กราฟ หรือการเก็บข้อมูล และโปรแกรม MS PowerPoint สำหรับการทำไฟล์นำเสนองาน (Presentation) ระบบปฏิบัติการ จำเป็นที่อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ จะต้องมี เพื่อทำให้เราใช้งานโปรแกรมต่างๆจากอุปกรณ์ชนิดนั้นๆ ได้อย่าง PC, Notebook, Netbook ก็จะมี Windows เป็นระบบปฏิบัติการ










วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2561

ใบงานที่ 3 เรื่อง การถ่ายทอดความคิดในการแก้ปัญหาด้วยอัลกอริทึม

การถ่ายทอดความคิดในการแก้ปัญหาด้วยอัลกอริทึม

1.การเขียนรหัสจำลอง (Pseudo Code)


ตอบ เป็นคำบรรยายที่เขียนแสดงขั้นตอนวิธี(algorithm) ของการเขียนโปรแกรม โดยใช้ภาษาที่กะทัดรัดสื่อสารกับโปรแกรมเมอร์ผู้เขียนโปรแกรม โดยอาจใช้ภาษาที่ใช้ทั่วไปและอาจมีภาษาที่ใช้ในการเขียนโปรแกรมประกอบ แต่ไม่มีมาตรฐานแน่นอนในการเขียน pseudo code และไม่สามารถนำไปทำงานบนคอมพิวเตอร์โดยตรง(เพราะไม่ใช่คำสั่งในภาษาคอมพิวเตอร์) และไม่ขึ้นกับภาษาคอมพิวเตอร์ภาษาใดภาษาหนึ่ง นิยมใช้ pseudo code แสดง algorithmมากกว่าใช้ผังงาน เพราะผังงานอาจไม่แสดงรายละเอียดมากนักและใช้สัญลักษณ์ซึ่งทำให้ไม่สะดวกในการเขียน เช่นโปรแกรมใหญ่ ๆ มักจะประกอบด้วยคำสั่งต่างๆที่ใกล้เคียงกับภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการเขียนโปรแกรมจริงๆ เช่น begin…end, if…else, do…while, while, for, read และ print การเขียนรหัสจำลองจะต้องมีการวางแผนสำหรับการอ้างอิงถึงข้อมูลต่างๆที่จะใช้ในโปรแกรมด้วยการสร้างตัวแปร โดยใช้เครื่องหมายเท่ากับ (=) แทนการกำหนดค่าให้กำหนดตัวแปรนั้นๆ
ตัวอย่าง 
Algorithm Problem_1

Variables : mLoop, Sum, testScore, average
Begin
Input mLoop
Sum = 0
For I = 1 to mLoop
Input testScore
Sum = Sum + testScore
Next
average = Sum / mLoop
Print average


การเขียนผังงาน
(Flowchart)

1.ความหมายของการเขียนผังงาน

ตอบแผนภาพซึ่งแสดงลำดับขั้นตอนของการทำงาน โดยแต่ละขั้นตอนจะถูกแสดงโดยใช้สัญลักษณ์ซึ่งมีความหมายบ่งบอกว่า ขั้นตอนนั้น ๆ มีลักษณะการทำงาน ทำให้ง่ายต่อความเข้าใจ ว่าในการทำงานนั้นมีขั้นตอนอะไรบ้าง และมีลำดับอย่างไร


2.สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเขียนผังงาน

ตอบ










3.ตัวอย่าง 1 ตัวอย่าง 
ตอบ 
อ้างอิง : 






วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2561

ใบงานที่ 2 เรื่อง การแก้ปัญหาด้วยกระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศ

 การแก้ปัญหาด้วยกระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศ

มี 4 ขั้นตอน

 1.การวิเคราะห์และกำหนดรายละเอียดของปัญหา  

เป็นขั้นตอนการทำความเข้าใจกับปัญหา  เพื่อแบ่งแยกให้ชัดเจนโดยใช้คำถามต่อไปนี้
ข้อมูลที่กำหนดมาในปัญหาหรือเงื่อนไขของปัญหาคืออะไรเพื่อระบุข้อมูลเข้า/สิ่งที่ต้องการคืออะไรเพื่อระบุข้อมูลออก
/วิธีการที่ใช้ประมวลผลคืออะไรเพื่อกำหนดวิธีการประมวลผล



2. การวางแผนในการแก้ปัญหาและถ่ายทอดความคิดอย่างมีขั้นตอน  

เป็นขั้นตอนการจำลองความคิดในการแก้ปัญหาที่ยุ่งยาก
ซับซ้อนโดยผู้ที่เกี่ยวข้องในการแก้ปัญหาสามารถเข้าใจและปฎิบัติตามไปในแนวทางเดียวกัน



3.การดำเนินการแก้ปัญหา  

เป็นขั้นตอนการลงมือแก้ปัญหาตามที่วางแผนไว้  โดยอาศัยซอฟต์แวร์ประยุกต์หรือใช้การเขียนโปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์เขียนโปรแกรมแก้ปัญหา  ซึ่งผู้แก้ปัญหาต้องศึกษาวิธีใช้ซอฟต์แวร์ประยุกต์หรือการเขียนโปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ให้เข้าใจและเชี่ยวชาญตลอดจนรู้จักปรับเปลี่ยนแนวทางการแก้ปัญหาที่ดีกว่าเสมอ



4.การตรวจสอบและปรับปรุง  

เป็นขั้นตอนการตรวจสอบผลลัพธ์ที่ได้จากการดำเนินการแก้ปัญหาว่าถูกต้องสอดคล้องกับข้อมูลเข้า  ข้อมูลออก  และวิธีการประมวลผลหรือไม่  ถ้ายังพบข้อบกพร่องต้องปรับปรุงแก้ไขให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด


แหล่งอ้างอิง : 








ใบงานที่ 1 เรื่อง โครงงานคอมพิวเตอร์ (Computer Project)

ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ 1.โครงงานหมายถึงอะไร                   โครงงานเป็นการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือหลายๆสิ่...